วันพุธที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2559

Culture in the future : Chapter 9

พิธีเปิดนิทรรศการศิลปะไทยร่วมสมัย "ไทยเนตร"




                พลเอกธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดนิทรรศการศิลปะไทยร่วมสมัย "ไทยเนตร" Thailand Eye ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า นิทรรศการ "ไทยเนตร" Thailand Eye เป็นกิจกรรมสุดท้ายงานเทศกาลไทยในสหราชอาณาจักร ตามโครงการเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีในโอกาสฉลองพระชนมายุ 5 รอบ 2 เมษายน 2558 และเฉลิมฉลอง 160 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-สหราชอาณาจักร ซึ่งการจัดแสดงผลงานศิลปะดังกล่าวได้เคยนำไปจัดที่หอศิลป์ Saatchi กรุงลอนดอน ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2558 – มกราคม 2559 ที่ผ่านมา โดยมีผู้เข้างานทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติตลอดระยะเวลาการจัดแสดง จำนวนรวมทั้งสิ้น 2 แสน 3 หมื่นกว่าคน นับเป็นสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้แก่วงการศิลปะร่วมสมัยของอังกฤษ และการตอบรับจากผู้ที่สนใจงานศิลปะร่วมสมัยในอังกฤษเป็นอย่างมาก และในครั้งนี้ก็ได้นำมาจัดแสดงที่เมืองไทย ถือเป็นโอกาสให้คนไทยและชาวต่างชาติที่มีความสนใจ และมีใจรักในศิลปะได้มาสัมผัสกับคุณค่าและความงดงามของงานศิลปะจากศิลปินชาวไทย อีกทั้ง เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลงานศิลปะและสร้างกำลังใจให้กับศิลปิน รวมทั้งโครงนี้ยังเป็นการส่งเสริมด้านการท่องเที่ยววัฒนธรรม และเศรษฐกิจไปพร้อมกันอีกด้วย



              ศาสตราจารย์ ดร.อภินันท์ โปษยานนท์ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า นิทรรศการศิลปะไทยร่วมสมัย ไทยเนตร (Thailand Eye) ครั้งนี้ กระทรวงวัฒนธรรมได้ร่วมกับ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร หอศิลป์ซัทชี่ บริษัท พรูเดนเชียลประกันชีวิต จำกัด พาราลเรล คอนเทมโพรารี่ อาร์ต กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) บริษัท คิง เพาเวอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) มูลนิธิ จิม ทอมป์สัน บริษัท โตชิบา ไทยแลนด์ จำกัด และบริติช เคานซิล ฯลฯ จัดขึ้น เป็นงานที่รวบรวมผลงานศิลปะไทยร่วมสมัยที่มีความโดดเด่นและสร้างสรรค์จากรากฐานของศิลปวัฒนธรรมของไทย จำนวนกว่า 60 ชิ้น จากศิลปินไทย จำนวน 23 คน มาจัดแสดง เช่น บุษราพร ทองชัย, ดาว วาสิกศิริ, กวิตา วัฒนะชยังกูร, นาวิน ลาวัลย์ชัยกุลปัญญา วิจินธนสาร, สาครินทร์ เครืออ่อนนอกจากนี้ยังยังมีการให้องค์ความรู้การศึกษาทางด้านศิลปะร่วมสมัยแก่นักเรียน นักศึกษา และผู้สนใจทั่วไป พร้อมทั้งจัดแสดงหนังสือ "ไทยเนตร" Thailand Eye ที่รวบรวมผลงานของศิลปินไทยให้เป็นประประจักษ์ไว้ในเล่มเดียวกันกว่า 70 คน อีกด้วย

              

              โครงการนี้เป็นโครงการที่มีหลายมิติ ทำให้ไทยและอังกฤษรู้จักกันมากขึ้น ซึ่งของทั้งสองประเทศก็มี ความแตกต่างกันเราต้องตีโจทย์ว่าคำว่าภัณฑรักษ์นั้นคืออะไร เรื่องของภัณฑรักษ์นั้นมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องของงบประมาณที่สามารถประสานกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน และในการคัดเลือกศิลปินในครั้งนี้ มีการทำงานเป็นทีม ทำการคัดเลือกจากสองร้อยคนให้เหลือเจ็ดสิบคน และยังมีการคัดเลือกต่อไปให้เหลือยี่สิบสามคน กระบวนการคัดเลือกนั้นก็ค่อนข้างมีความเข้มข้นแต่ก็จบลงด้วยดี จึงขอขอเชิญชวนผู้ที่สนใจ และมีใจรักในงานศิลปะ รวมถึงบุคคลทั่วไปร่วมชมนิทรรศการดังกล่าวตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปถึงวันที่ 7 สิงหาคม 2559 ณ ห้องนิทรรศการหลักชั้น 8 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร

                    โดยมีศิลปินมากหน้าหลายตาที่นำผลงานเข้ามาแสดงในนิศรรศการนี้ อาทิเช่น บุษราพร ทองชัย, ชาติชาย ปุยเปีย, ชูศักดิ์ ศรีขวัญ, ดาว วาสิกศิริ, กมลพันธุ์ โชติวิชัย, รอล์ฟ วอน บูเรน, สาครินทร์ เครืออ่อน, อุดมศักดิ์ กฤษณมิษ และ วิริยะ โชติปัญญาวิสุทธิ์ ฯลฯ

วันอังคารที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2559

Culture in the future : Chapter 8

เปิดงานมหกรรมวัฒนธรรมผ้าถิ่นไทยเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ๘๔ พรรษา




          นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเป็นประธานเปิดงานมหกรรมวัฒนธรรมผ้าถิ่นไทย เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ 84 พรรษา โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี ผู้บริหารระดับสูงหน่วยงานราชการและประชาชนเข้าร่วมพิธีจำนวนมาก โดยกระทรวงวัฒนธรรมร่วมกับจังหวัดสุพรรณบุรี กำหนดให้จัดงานตั้งแต่วันที่ 11-13 มีนาคม 2559 ณ บริเวณศาลเจ้าพ่อหลักเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี 



ณ ลานหน้ามังกรสวรรค์ ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสุพรรณบุรี นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานกล่าวเปิดโครงการ เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระชนมายุ 7 รอบ 84 พรรษา และได้อนุรักษ์ฟื้นฟูถ่ายทอดมรดกผ้าถิ่นไทยให้แพร่หลาย รวมทั้งให้คนไทยได้ตระหนักถึงความสำคัญของมรดกทางปัญญาของวัฒนธรรมชาติและส่งเสริมอัตลักษณ์ความเป็นไทยให้เกิดความภาคภูมิใจและร่วมสืบสานอย่างยั่งยืน ตามวิสัยทัศน์ประเทศไทย “ มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ” รวมถึงวิสัยทัศน์ และพันธกิจของกระทรวงวัฒนธรรม 5 ด้าน เช่น การเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และทำนุบำรุงศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม ตลอดจนสร้างสรรค์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มจากเส้นใยผืนผ้า สู่การสร้างงานและรายได้ให้แก่ชุมชน เพื่อเสริมสร้างภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์วัฒนธรรมการแต่งกายผ้าถิ่นไยให้แพร่หลาย และเพื่อส่งเสริมภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมให้มีพื้นที่ในการจำหน่ายและจัดแสดงสินค้าทางวัฒนธรรม


ทางด้าน ว่าที่ร้อยตรี สุพีร์พัฒน์ จองพานิช ผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี กล่าวให้การต้อนรับว่า เป็นความภาคภูมิใจที่สุพรรณบุรี ได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพการจัดงานในครั้งนี้ ซึ่งที่จังหวัดสุพรรณบุรีนั้น มีผ้าถิ่นจำนวนมาก เช่น ผ้าทอพื้นเมืองลายโบราณ ดังนั้นเราพร้อมที่จะขับเคลื่อนนโยบายยุทธศาสตร์และจุดเน้นการดำเนินงานของกระทรวงวัฒนธรรมด้านวิถีถิ่น วิถีไทย เพื่อเสริมสร้างภาพลักษณ์และเกียรติภูมิของประเทศ และเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 84 พรรษา


ขณะที่ นายประยุธ โอสธีรกุล วัฒนธรรมจังหวัดสุพรรณบุรี กล่าวถึงกิจกรรมภายในงาน ได้จัดแสดงและจำหน่ายผ้าไทย 4 ภาค การสัมมนาผ้าถิ่นไทย การแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านและร่วมสมัย การแสดงเดินแบบผ้าถิ่นไทย โดยนายแบบ นางแบบกิตติมศักดิ์ การประกวดเดินแบบแฟชั่นเยาวชนรักษ์ผ้าไทย อายุไม่เกิน 18 ปี และมีการแสดงอีกมากมาย


วันพุธที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2559

Culture in the future : Chapter 7

วธ.จัดมหกรรมวัฒนธรรมอาเซียน ดึง 7 ชาติอาเซียน-อินเดีย ร่วมแสดงรามายณะ



              นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ได้เปิดเผยภายหลังการประชุมติดตามความคืบหน้าการจัดงานมหกรรมวัฒนธรรมอาเซียน ที่กระทรวงวัฒนธรรม ว่ากำหนดจัดงานมหกรรมวัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN Cultural Expo 2016) รวมเข้ากับการจัดงานใต้ร่มพระบารมี 234 ปี กรุงรัตนโกสินทร์ วันที่ 20 – 24 เมษายน ณ บริเวณท้องสนามหลวง โรงละครแห่งชาติ และหอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน เพื่อส่งเสริมความรู้ความเข้าใจในความเหมือน ความต่างและความหลากหลายทางวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของประชาชนในประเทศอาเซียน ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมให้คนไทยเกิดการยอมรับความหลากหลายของวัฒนธรรมอาเซียน ซึ่งนำไปสู่ประชาสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนในอนาคต รวมถึงเป็นการแสดงความพร้อมการเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางศิลปะและวัฒนธรรมของอาเซียน เพื่อให้ประชาชนได้เรียนรู้ในความเหมือนและแตกต่างในเรื่องของวิถีชีวิต วัฒนธรรมของประชาชนในกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนด้วยกัน

            สำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ได้รายงานความคืบหน้าในการเตรียมงานมหกรรมวัฒนธรรมอาเซียนว่าขณะนี้มีความคืบหน้าร้อยละ 75 แล้ว โดยเมื่อวันที่ 16 ก.พ.ที่ผ่านมา ทางวธ.ได้เชิญคณะผู้เชี่ยวชาญด้านการแสดงรามายณะจากประเทศสมาชิกอาเซียน รวม 6 ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา อินโดนีเซีย ลาว เมียนมา ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ เข้าร่วมหารือการจัดมหกรรมรามายณะอาเซียน (ASEAN Plus Ramayana) ซึ่งได้กำหนดการแสดงรวมชาติโดยแบ่งองก์การแสดง ได้แก่

                    1.ยกศร-การแสดงรวมชาติ ซึ่งเป็นการแสดงรวมของประเทศสมาชิกอาเซียน
                    2.การบูชาเทพเจ้าและฉาก ณ กรุงมิถิลา จากอินเดีย
                    3.ตามกวางและลักสีดา จากเมียนมาร์
                    4.นกสดายุและถวายพล จากอินโดนีเซีย
                    5.เนรเทศพิเภก จากลาว
                    6.หนุมานพบนางสีดา จากสิงคโปร์
                    7.เผากรุงลงกาและจับนาง จากกัมพูชา
                    8.ยกรบและสีดาลุยไฟ จากฟิลิปปินส์ และปิดท้ายด้วยคืนนคร จากไทย
         

              นอกจากนี้ ยังมีการแสดงดนตรีและการแสดงพื้นบ้านอาเซียน การจัดฉายภาพยนตร์คลาสสิกอาเซียน การจัดแสดงสิ่งทอและแฟชั่นอาเซียน การจัดแสดงผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมอาเซียน เมืองจำลองอาเซียน ครัวอาเซียน "ลิ้มรสอาหารอาเซียน" ว่าวอาเซียน เทศกาลอาเซียนแห่งกรุงเทพมหานคร 2559 พิธีเปิดห้องจัดแสดงศิลปวัตถุของอินโดนีเซียและกัมพูชา พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร และ ASEAN Literature อัตลักษณ์ร่วมในวรรณกรรมอาเซียน ซึ่งที่ประชุมมีมติให้หน่วยงานที่รับผิดชอบแต่ละกิจกรรมส่งรายละเอียดและผู้ประสานงานให้แก่สำนักความสัมพันธ์ต่างประเทศ เพื่อจัดทำเป็นข้อมูลการประชาสัมพันธ์การจัดงานต่อไป

                       
                    

             อย่างไรก็ตาม วธ. จะจัดทำหนังสือเรียนเชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมของประเทศสมาชิกอาเซียนเข้าร่วมงานมหกรรมวัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN Cultural Expo2016) ระหว่างวันที่ 20 – 24 เมษายน 2559 เพื่อเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน รวมถึงการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และศึกษาวัฒนธรรมร่วมกันของประเทศสมาชิกอาเซียนด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2559

วาทกรรม : การเปลี่ยนแปลงของเพศที่ถูกจำกัด


การเปลี่ยนแปลงของเพศที่ถูกจำกัด

เพศ เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่เป็นตัวเลือกสำหรับสิ่งต่างๆในชีวิตของคนเรา  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโอกาสในการเลือกอาชีพ สิทธิต่างๆ เป็นต้น โดยเฉพาะสาวประเภทสองจะเป็นเพศที่ถูกจำกัดมากกว่าเพศอื่นๆ สังคมจะพยายามแบกแยกคนเหล่านี้ออกจากเพศชายและเพศหญิง โดยมีทัศนคติที่เชื่อว่าพฤติกรรมของคนเหล่านี้เป็นคนรักเพศเดียวกันและคนข้ามเพศจะนำไปสู่ปัญหาทางสังคมและความเสื่อมเสียศีลธรรม ส่งผลให้กลุ่มคนเหล่านี้ไม่ได้รับความเท่าเทียมและสิทธิทางสังคม

สมัยก่อนนั้น คนไทยถูกปลูกฝังให้มีค่านิยมและความเชื่อที่ผิดๆ ว่าใครที่เป็นบุคคลข้ามเพศหรือรักเพศเดียวกันก็จะถูกมองว่าเป็นตัวประหลาด โดนขับไล่ออกจากสังคมนั้นๆ ทำให้ไม่มีอาชีพรองรับ ทั้งๆที่บุคคลเหล่านี้ไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ด้วยความที่สังคมยังไม่เปิดกว้างนัก จึงถูกมองว่าผิดจารีตประเพณีของไทย รวมไปถึงการใช้กฎหมายเกี่ยวกับการใช้คำนำหน้านามว่า นาย” “นาง” “นางสาวการแต่งกายเพื่อบ่งบอกถึงความเป็นสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี สิ่งเหล่านี้จึงมีบทบาทสำคัญในการสร้างกฎเกณฑ์ทางเพศในสมัยก่อน ที่ให้ความสำคัญว่าโลกเรามีแค่ผู้หญิงและผู้ชายเท่านั้น

ในปัจจุบันนั้น สังคมไทยเปิดกว้างมากขึ้น ยอมรับบุคคลที่มีเพศสภาพไม่ตรงกับเพศวิถีได้ และยังมีการรองรับด้านการทำงานของสาวประเภทสองหรือบุคคลรักร่วมเพศ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะส่วนหนึ่งมาจากวัฒนธรรมตะวันตกที่เข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น จึงทำให้มีการเปลี่ยนแปลงเรื่องเหล่านี้ในสังคมไทย เช่น เรื่องการเพิ่มโอกาสในการทำงานของเพศเหล่านี้ ที่เห็นได้ชัดเจนเช่น อาชีพแอร์โฮสเตส ช่างแต่งหน้า สไตล์ลิสต์ เรื่องการคุ้มครองทางกฎหมายแก่ผู้หญิงข้ามเพศในด้านสุขภาพ การรับฮอร์โมน การผ่าตัดแปลงเพศ มีการอนุญาตให้การผ่าตัดแปลงเพศเป็นเรื่องถูกกฎหมาย เรื่องการแต่งกายสำหรับสาวประเภทสอง ซึ่งแต่งได้อย่างเปิดเผยในสถานที่ทำงาน เป็นต้น

ฉะนั้นคนเราไม่อาจเลือกเกิดได้ แต่เราสามารถเลือกสิ่งที่จะทำได้ การเปิดโอกาสในสังคมก็เป็นอีกหนึ่งสิ่ง ที่คนทุกคนไม่ว่าจะเพศชาย เพศหญิง สาวประเภทสอง ทอม ดี้ เกย์ ทุกเพศย่อมต้องการการยอมรับและการเปิดโอกาสให้กับพวกเขาเหล่านั้น ได้แสดงถึงทักษะและความสามารถที่มีอยู่ออกมาให้เห็นว่า ถึงแม้ภายนอกจะถูกมองไม่ดีอย่างไร แต่ความสามารถก็ไม่น้อยหน้าไปกว่าเพศปกติ

วาทกรรม : ประชาธิปไตย..ไม่ใช่อย่างที่คิด


ประชาธิปไตย..ไม่ใช่อย่างที่คิด

ตามความเข้าใจของผู้เขียนที่ผ่านมา วาทกรรมประชาธิปไตย จะต้องมีคุณลักษณะดังต่อไปนี้

- ยึดเสียงข้างมากเป็นเสียงส่วนใหญ่

- เคารพในกฎ กติกา ของสังคมเพื่อความสงบสุข

- เคารพในการตัดสินใจซึ่งกันและกัน

- ยึดถือหลักความเสมอภาคและความเท่าเทียมกัน

- รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น  ฯลฯ

แต่สภาพสังคมไทยในปัจจุบัน ในด้านการเมือง การบริหารประเทศ กลับไม่ได้เป็นไปตามหลักการที่เคยเข้าใจมา แต่กลับตรงกันข้าม ทำให้น่าสลดใจกับการปกครองของประเทศไทยในปัจจุบัน เช่น มีการทุจริตคอรัปชั่นกันอย่างรุนแรง ปิดกั้นสิทธิเสรีภาพของประชาชน ปิดหูปิดตา ไม่กล้าพิสูจน์ข้อเท็จจริง ในการบริหารและพัฒนาบ้านเมืองในหลากหลายรูปแบบ

ปัจจุบันเป็นรัฐบาลทหารที่เข้ามายึดอำนาจ แต่ก็มีลักษณะเหมือนกับ โจรคุมเมือง เป็นที่รู้เห็นอย่างเด่นชัดทั่วไป เช่น กรณีอุทยานราชภักดิ์ เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ถึงมูลค่าในการก่อสร้าง ว่ามีอัตราที่สูงเกินความเป็นจริง และนักศึกษาหลายสถาบัน กลุ่มพนักงานองค์กรต่างๆถูกสกัดกั้น ไม่ให้มีการเดินทางเข้าไปพิสูจน์ข้อเท็จจริงในพื้นที่อุทยาน และถูกปิดกั้นจากกลุ่มทหารและขัดขวางระหว่างเส้นทางเดินรถ ทั้งทางรถไฟและรถยนต์ รวมทั้งห้ามเข้าชมในพื้นที่อุทยาน และได้ปิดกั้นการทำงานของสื่อที่จะรายงานข่าวให้ภาคประชาชนได้ทราบ หากผู้นำมีวิสัยทัศน์เช่นนี้ จะนำบ้านเมืองไปในทิศทางใด ?

ในยุคสมัยของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ได้ทำการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย แต่ก็ถูกพรรคตรงข้าม ทำลายหน่วยเลือกตั้ง ปล้นระบอบประชาธิปไตย และต่อมาที่รัฐบาลทหารเข้ายึดครอง ก็ไม่เคยเคารพต่อระบอบประชาธิปไตยแต่อย่างใด ใช้วิธียึดครองอำนาจ ไม่เคารพกฎกติกาใดๆ มีหน่วยรักษาความสงบ ถืออาวุธปืนอย่างเป็นระยะในทุกพื้นที่  ไม่เคารพกฏกติกา ไม่เคารพการตัดสินใจ ไม่รับฟังความคิดเห็น ปล้นสิทธิเสรีภาพของสื่อ  ปิดกั้นการรายงานข่าวของสื่อ ผู้นำพยายามสร้างแนวความคิดว่า ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลเป็นพวกการเมืองเก่า สิ่งเหล่านี้จึงเป็นเพียงการสร้างวาทกรรมประชาธิปไตย โดยไม่ได้รักษาเนื้อหาและข้อเท็จจริง ซึ่งนี่ไม่ใช่ลักษณะของระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง 

Special Chapter : การเมืองกับมหาวิทยาลัย

การเมืองกับมหาวิทยาลัย


ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการเมืองมีอยู่รอบตัวและชีวิตประจำวันของเรา อย่างเช่น การเมืองกับชีวิตในมหาวิทยาลัย แทบจะเรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่อาจแยกออกจากกันได้เลย เพราะคำว่า เมือง คือเขตที่เป็น ที่ชุมชน ที่อยู่อาศัยรวมกันของผู้คน ส่วนคำว่า มหาวิทยาลัย คือสถานที่จัดการศึกษาในด้านวิชาการ และเป็นที่รวมกลุ่มของผู้คนในวัยศึกษาเล่าเรียน
           
           ในสถานที่ที่มีผู้คนอยู่ร่วมกันจำนวนมากๆ ไม่ว่าจะมีวัตถุประสงค์ใดก็ตาม จำต้องมีกฎหมายระเบียบปฏิบัติ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพื่อประโยชน์และความสงบสุขของกลุ่มสังคม ฉะนั้นคำว่า การใช้ระเบียบ กฎกติกา มารยาท จรรยาบรรณ จำต้องมีเป็นหลักปฏิบัติ ในการอยู่ร่วมกัน อย่างในมหาวิทยาลัย เช่น การจัดทำกิจกรรมประเพณี การรับน้อง ประเพณีกีฬาประจำปี การจัดนิทรรศการแสดงผลงานทางวิชาการ ของนักเรียนนักศึกษา ในการทำงานร่วมกัน ต้องการความคิดเห็นของสมาชิก ขององค์กร จึงต้องมีการแสดงความคิดเห็น โดยการจัดระเบียบความคิดในลักษณะการประชุม ลงความเห็น ลงคะแนนเสียงข้างมาก เพื่อนำมาเป็นมาตรการ ในการปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ ให้เกิดผลความสำเร็จ ให้เกิดการยอมรับ หลีกเลี่ยงการขัดแย้งทางความคิด อันนำไปสู่ความแตกแยก และความล้มเหลว
           
          วิธีการจัดระเบียบการอยู่ร่วมกันนี้ ล้วนเป็นกระบวนการทางการเมือง ที่ใช้กันอยู่อย่างแพร่หลาย ซึ่งเป็นการนำความคิดที่เห็นชอบ โดยส่วนใหญ่ และยอมรับด้วยหลักการและเหตุผลด้วยดี เป็นที่พอใจ นำมาเป็นนโยบายการปฏิบัติ โดยความยินยอมของทุกฝ่าย วิธีการดังกล่าว เป็นวิถีทางในการปฏิบัติทางการเมืองทั้งสิ้น

          ฉะนั้นวิถีทางการเมืองจะอยู่ในทุกรูปแบบของกลุ่มชน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มสังคมรูปแบบใดก็ตาม ในที่ที่มีคนอยู่เป็นกลุ่มคน จำเป็นต้องมีระเบียบปฏิบัติในการอยู่ร่วมกันอย่างชัดเจน เพื่อก่อให้เกิดความสงบสุขของกลุ่มชน โดยเฉพาะหลักการเคารพในสิทธิ เสรีภาพของตนเองและผู้อื่น เป็นหลักปฏิบัติที่สำคัญที่สุดในกลุ่มชนทุกชั้น ทุกองค์กรทุกสถานะ ดังนั้นแบบแผนกระบวนการทางการเมืองจะถูกวางรูปแบบปลูกฝังไว้ในทุกองค์กร ทุกกลุ่มชน ทุกสถานศึกษา เราจะเห็นได้จากประเทศที่เจริญแล้ว เช่น ประเทศญี่ปุ่น จะมีรูปแบบกฎระเบียบการอยู่ร่วมกันของประชาชน เช่น ในโรงเรียนอนุบาล ประถม มัธยม อุดมศึกษา และมหาวิทยาลัย ได้ถูกวางระเบียบการเมืองการปกครองไว้อย่างชัดเจน ประชาชนแสดงออกถึงความเป็นผู้มีวินัยทางการเมืองอย่างเห็นได้ชัดซึ่งควรนำมาเป็นแบบอย่าง     

วันอังคารที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2559

Special Chapter : การเมืองกับอาเซียน


หากเอ่ยถึงคำว่าการเมือง หลายคนคงบอกว่าเป็นเรื่องที่เข้าถึงได้ยาก น่าเบื่อ มีแต่เรื่องราวเครียดๆไม่น่าสนใจสักเท่าไร แต่การเมืองนั้นเป็นสิ่งที่อยู่รอบๆตัวเราทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการใช้ชีวิต การเรียนการศึกษา การทำงาน ครอบครัว สื่อมวลชน  รวมถึงประชาอาเซียน ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องจับตามองในขณะนี้
           
             การเมืองกับอาเซียนเกี่ยวกันเพราะเป็นกระบวนการจัดตั้งประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน ที่มีรากฐานมาจากนำความร่วมมือและความตกลงของอาเซียนด้านการเมืองและความมั่นคงที่มาต่อยอดให้มีผลเป็นรูปธรรมและมีความแบบแผนมากยิ่งขึ้น 
            
            ซึ่งผลลัพธ์สำคัญที่จะเกิดขึ้นจากการจัดตั้งประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน ก็คือ การที่ประเทศสมาชิกอาเซียนจะมีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวกับความมั่นคงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาความขัดแย้งด้านการเมืองระหว่างรัฐสมาชิกกับรัฐสมาชิกด้วยกันเอง ซึ่งจะต้องแก้ไขโดยสันติวิธี และเป็นการจัดการร่วมมือกันระหว่างประเทศที่เกิดปัญหาขึ้น จะไม่ใช่ประเทศใดประเทศหนึ่งที่จะจัดการปัญหาอีกต่อไป
            
            แต่ถ้าถามว่าประเทศไทยมีความพร้อมกับการเมืองในการเข้าร่วมประชาคมอาเซียนมากน้อยแค่ไหน เรื่องระบบการเมืองตอนนี้ที่อยู่ในระบอบเผด็จการทหาร ซึ่งแต่ก่อนเป็นระบบประชาธิปไตย จึงทำให้หลายๆฝ่ายเกิดความไม่พอใจในการตั้งตนขึ้นมาปกครองของเหล่าทหาร จึงรวมไปถึงการบริหารบ้านเมืองด้วย ที่หลายคนให้ความเห็นว่าไม่มีความคืบหน้าที่ดีขึ้นสักเท่าไร

ในปัจจุบันนี้ยังมีการถกเถียงกันเกี่ยวกับการทำงานของการเมืองไทยที่ไม่ลงตัวกัน ไม่เห็นพ้องต้องกันจึงเห็นได้ว่าประเทศไทยยังคงไม่มีความพร้อมในการเข้าร่วมประชาคมอาเซียน เพราะการร่วมมือกันของทั้ง10ประเทศนั้น ต้องมีความร่วมมือกันทางด้านการเมืองและความมั่นคง ถ้าประเทศใดประเทศหนึ่งยังไม่มีความพร้อม แล้วเมื่อไรเราจะได้เห็นภูมิภาคเราร่วมกันพัฒนาไปจนถึงขั้นสูงสุดสักที

การเมืองก็ยังคงเป็นสิ่งที่อยู่รอบๆตัวเรา ถึงแม้จะเป็นสิ่งที่หลายๆคนไม่สนใจ มองว่ามีแต่สิ่งที่ทำให้เครียด แต่การเมืองนั้นก็ถือเป็นสิ่งสำคัญของคนเราที่เราควรจะรับรู้และทำความเข้าใจ เพื่อสามารถทันข่าวและไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากนักการเมืองในปัจจุบันได้ 

นางสาวปัญยภัสสร์   พรหมชัยวัฒนา  13570500

Culture in the future : Chapter 6

เปิดงานมหกรรมวัฒนธรรม วิถีถิ่น วิถีไทย



         
          เมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ ณ ท้องสนามหลวง พลเอกธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรีได้เป็นประธานเปิดงานมหกรรมวิถีถิ่น วิถีไทยเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๗๐ ปี และ เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ เฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๙ โดยมีนายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมกล่าวรายงาน พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงวัฒนธรรม คณะทูตานุฑูต หน่วยงานภาครัฐ ทั้งนี้ ภายในงานมีกิจกรรมการแสดงทางวัฒนธรรมและการจำหน่ายสินค้าทางวัฒนธรรมจาก ๔ ภูมิภาคทั่วประเทศ โดยจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๖-๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ ณ บริเวณท้องสนามหลวงอีกด้วย



         
          นอกจากนี้ยังมุ่งส่งเสริมอัตลักษณ์ความเป็นไทย ให้ประชาชนชาวไทยมีจิตสำนึกและพฤติกรรมการนิยมความเป็นไทยในชีวิตประจำวันเพิ่มขึ้น ที่จะสัมผัสได้อย่างใกล้ชิดในงานนี้ เช่น การแสดงและดนตรีพื้นบ้านยอดนิยม อาหาร ผลิตภัณฑ์จากภูมิปัญญาไทย การแต่งกาย รวมถึงการยิ้ม ไหว้ สวัสดี ขอบคุณ น้ำใจไมตรี


โดยมีคณะทูตานุทูตประจำประเทศไทย รวมถึงประชาชนเข้าร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมาก โดยรองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมการสร้างค่านิยมให้คนในชาติ ตามรอยเบื้องพระยุคลบาทเป็นหลักในการดำเนินชีวิต พร้อมดึงทุกภาคส่วนร่วมฟื้นฟูวิถีชีวิตวัฒนธรรมท้องถิ่นให้กลับคืนมา อีกทั้งยังเป็นการสร้างรายได้ให้กับศิลปินพื้นบ้านทุกภูมิภาคให้มีงานทำ รวมถึงส่งเสริมภาพลักษณ์เมืองท่องเที่ยวสู่สายตาชาวต่างชาติ




สำหรับกิจกรรมภายในงานประกอบด้วยการลงนามถวายพระพร มหกรรมการแสดงพื้นบ้านจากทั่วประเทศ อาทิ มหกรรมสะล้อ ซ้อ ซึง มหกรรมเพลงพื้นบ้านคณะแม่ขวัญจิตรศรีประจันต์ กลองยาว มโนรา หมอลำ โปงลาง การจำหน่ายสินค้าภูมิปัญญา มหกรรมว่าวไทย การฝึกอาชีพ โดยหลังจากนี้จะมีการจัดกิจกรรมใน 4 ภูมิภาคได้แก่ มหกรรมสะล้อ ซอ ซึง, การแสดงกลองสะบัดชัย จากภาคเหนือ มหกรรมเพลงพื้นบ้านคณะแม่ขวัญจิตร ศรีประจันต์ มหกรรมกลองยาว, มหกรรมแตรวง จากภาคกลาง มหกรรมโนรา, มหกรรมดิเกร์ฮูลู, มหกรรมซัมเป็ง จากภาคใต้ มหกรรมหมอลำ, มหกรรมพิณ แคนโปงลาง, มหกรรมเรือมอันเร จากภาคอีสาน



          และเมื่อวันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ ที่ผ่านมา นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเป็นประธานการประชุมติดตามการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๕๙ ของสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ที่หอประชุม กระทรวงวัฒนธรรม เกี่ยวกับความคืบหน้าในการแบ่งจ่ายการใช้งบประมาณที่ใช้ในงานวัฒนธรรมทั้งเรื่องการจัดกิจกรรมต่างๆ สืบสานวัฒนธรรมในทุกภูมิภาค 




วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

Culture in the future : Chapter 5

วธ.จัดมหกรรมวัฒนธรรมยิ่งใหญ่ทั่วไทย

                 กระทรวงวัฒนธรรมจัดงานมหกรรมวัฒนธรรม วิถีถิ่น วิถีไทย กทม.- 4 ภาค เฉลิมพระเกียรติในหลวง-ราชินี จัดแสดงดนตรี-นาฏศิลป์พื้นบ้าน ที่หาชมยาก ด้านศิลปินใต้โอดการแสดง"มะโย่ง"    ใกล้สูญ วอนภาครัฐหาทางสืบสาน


              เมื่อวันที่ 18 ก.พ.ที่ผ่านมา ณ หอประชุมเล็ก ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รมว.วัฒนธรรม  เป็นประธานแถลงข่าว "งานมหกรรมวัฒนธรรม วิถีถิ่น วิถีไทย เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสทรงครองสิริราชสมบัติครบ 70 ปี และ เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ รอบ 12 สิงหาคม 2559 ว่า วธ.ตระหนักถึงความสำคัญของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ และมุ่งที่จะขับเคลื่อนให้เกิดความภาคภูมิใจในความเป็นไทยให้สืบสานอย่างยั่งยืน จึงได้จัดมหกรรมดังกล่าว เพื่อมุ่งส่งเสริมอัตลักษณ์ความเป็นไทย โดยนำการแสดงเอกลักษณ์ท้องถิ่นที่หาชมได้ยาก  และหลายรายการกำลังจะสูญหายไป รวมทั้งดนตรีพื้นบ้านยอดนิยม อาหาร ผลิตภัณฑ์ภูมิปัญญาไทย และกิจกรรมส่งเสริมความเป็นไทย มาเผยแพร่ให้ประชาชนทั่วประเทศได้ร่วมสืบสาน โดยจะเริ่มจัดงานในส่วนกลาง ที่ ท้องสนามหลวง วันที่ 26-28 ก.พ. 2559 


                 และอีกทั้ง4ภูมิภาค ได้แก่ ภาคเหนือ ที่ ศูนย์ฝึกกองกำลังรักษาดินแดน จังหวัดเชียงราย ระหว่างวันที่ 18-22 มี.ค. 2559  ภาคกลางที่ อุทยานเฉลิมพระเกียรติ ร.4 จังหวัดเพชรบุรี วันที่ 25-29 มี.ค. 2559   ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ ลานเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ จังหวัดหนองคาย วันที่ 6-10 พ.ค. 2559  และภาคใต้ ที่ สวนสาธารณะธารา จังหวัดกระบี่ วันที่ 5-9 พ.ค. 2559


                 นายสมาน  โดซอมิ ประธานศูนย์วัฒนธรรมเฉลิมราชย์ พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านกือเม็ง จังหวัดยะลา กล่าวว่า ภาคใต้จะนำการแสดงมะโย่ง ซึ่งเป็นการแสดงพื้นบ้านโบราณมีอายุกว่า 400 ปี มีเอกลักษณ์ชาวไทยมุสลิมใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้ง จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส ที่เกี่ยวข้องพิธีกรรมการแก้บน  สะเดาะเคราะห์ และให้ความบันเทิง มีการสื่อสานบทขับร้องโดยใช้ภาษามาลายู มาแสดงให้ประชาชนได้รับชม ซึ่งปัจจุบันการแสดงมะโย่งลดน้อยลง เหลือเพียงแค่ 4คณะ และยังไร้ผู้สืบสาน แต่ตนสนใจที่จะอนุรักษ์การแสดงนีเจคงรวบรวมครูมะโย่งจากคณะต่างๆ มาไว้ที่ศูนย์เรียนรู้ อำเภอรามัญ จังหวัดยะลา  เพื่อหวังให้ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้กับคนรุ่นหลัง แต่ก็ยังพบว่าไม่มีผู้สนใจมาเรียน จึงห่วงว่า อีกไม่นานนี้วัฒนธรรมถิ่นใต้ที่ดีจะสูญหายไป“


                "อุปสรรคของการแสดง มะโย่ง คือ การใช้ภาษามลายู ใช้คำราชาศัพท์ชั้นสูง แต่คนภาคใต้ปัจจุบันพูดภาษาถิ่นและภาษากลาง ทำให้ไม่ได้รับความสนใจ อย่างไรก็ตามที่ผ่านมา ประเทศอินโดนีเซียและมาเลเซียติดต่อให้ไปถ่ายทอดความรู้ให้กับคณะการแสดงใน 2 ประเทศดังกล่าว ซึ่งน่าเสียดายที่ประเทศไทยกลับไม่เห็นความสำคัญ ทั้งนี้ จึงอยากให้ภาครัฐ โดยเฉพาะวธ.ช่วยลงมาดูแลและสืบสานด้วย"                         นายสมาน กล่าว.“

วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

Culture in the future : Chapter 4

ศ.ดร.อภินันท์ โปษยานนท์ พร้อมด้วยมรว.จักรรถ จิตรพงศ์ อดีตปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในการประชุมเตรียมการจัดงานมหกรรมรามายณะอาเซียน (ASEAN Plus Ramayana)

             วันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ เวลา ๐๙.๓๐ น. ณ ห้องประชุมดำรงราชานุภาพพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ศาสตราจารย์ ดร.อภินันท์ โปษยานนท์ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมด้วยหม่อมราชวงศ์จักรรถ จิตรพงศ์ อดีตปลัดกระทรวงวัฒนธรรม  เป็นประธานในการประชุมเตรียมการจัดงานมหกรรมรามายณะอาเซียน (ASEAN Plus Ramayana) โดยมีผู้แทนจากประเทศสมาชิกอาเซียน รวม ๘ ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา อินโดนีเซีย ลาว เมียนมา ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และผู้แทนสถานเอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศไทย เข้าร่วมประชุม





ก่อนหน้านี้ได้มีการประชุมคณะกรรมการอาเซียนว่าด้วยวัฒนธรรมและสนเทศ ครั้งที่ 50 ประเทศไทยได้แจ้งกำหนดจัดเทศกาลรามายณะอาเซียน (ASEAN Ramayana Festival) เพื่อเฉลิมฉลองการเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน ในเดือนเมษายน 2559

นายดนัย ชนกล้าหาญ ประชาสัมพันธ์จังหวัดลำพูน เปิดเผยว่าดร. จรูญ ไชยศร รองอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย ฝ่ายสนเทศ และนางสาวดารุณี ธรรมโพธิ์ดล ผู้อำนวยการสำนักความสัมพันธ์ต่างประเทศ กระทรวงวัฒนธรรม เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย ฝ่ายวัฒนธรรม เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการอาเซียนว่าด้วยวัฒนธรรมเละสนเทศ ครั้ง 50 (50th ASEAN Committee on Culture and Information Meeting: ASEAN-COCI) ระหว่างวันที่ 9 – 11 พฤศจิกายน 2558 ณ เมืองสุราบายา สาธารณรัฐอินโดนีเซียที่ผ่านมา ซึ่งในที่ประชุมเน้นย้ำความสำคัญของการใช้กลไกด้านวัฒนธรรมและสนเทศในการเสริมสร้างอัตลักษณ์อาเซียน โดยเฉพาะภายหลังปี 2558 โดยได้รับทราบความคืบหน้าการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ 2 ฉบับ ได้แก่แผนยุทธศาสตร์อาเซียนด้านวัฒนธรรมและศิลปะ ซึ่งมุ่งส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการสร้างอัตลักษณ์อาเซียน ความหลากหลายทางวัฒนธรรม สิทธิทางวัฒนธรรม ของประชาชน อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ การจัดการมรดกทางวัฒนธรรม และความร่วมมือด้านวัฒนธรรมกับภาคีภายนอก และแผนยุทธศาสตร์อาเซียนด้านสื่อและสนเทศ 2559 - 2563 ซึ่งมุ่งส่งเสริมการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร การกระจายข้อมูลเกี่ยวกับประโยชน์ของประชาคมอาเซียน การเชื่อมโยงกับภูมิภาคและสังคมโลก และความร่วมมือกับแวดวงต่างๆ ในการพัฒนาเนื้อหาเกี่ยวกับอาเซียน




สำหรับการหารือเรื่องความร่วมมือด้านวัฒนธรรมกับประเทศคู่เจรจานั้น ประเทศไทยรายงานผลการดำเนินโครงการนำบุคลากรด้านสื่อของอาเซียน-จีน เยือนไทย เมื่อวันที่ 15 - 19 กันยายน 2558 ที่ผ่านมา ซึ่งประกอบด้วย การเสวนาวิชาการ การศึกษาดูงานที่สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 และไทยรัฐทีวี และการเช้าชมศูนย์ฯ นอกจากนั้น ที่ประชุมได้หารือเกี่ยวกับการกำหนดให้ปี 2559 เป็นปีแห่งวัฒนธรรมอาเซียน - รัสเซีย (ASEAN - Russia Year of Culture 2016) และมีการจัด ASEAN Culture and Arts Dialogue ซึ่งจะเป็นเวทีให้ภาคส่วนต่างๆ ได้รู้จักกลไกความร่วมมือด้านวัฒนธรรมของอาเซียนมากขึ้น

นอกจากนั้นประเทศไทยยังได้แจ้งเรื่องการจัดเทศกาลรามายณะอาเซียน (ASEAN Ramayana Festival) ในเดือนเมษายน 2559 เพื่อเฉลิมฉลองการเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน โดยจะประสานประเทศต่างๆ ให้ส่งผู้เชี่ยวชาญมาร่วมหารือเพื่อเตรียมการต่อไป



วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

Culture in the future : Chapter 3

วัฒนธรรม-ท่องเที่ยวฯ ร่วมกันบูรณาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ส่องหาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ เพื่อจูงใจนักท่องเที่ยวไทย - ต่างประเทศ 
       
       พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี มอบให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรม ทำการบูรณาการทำงานด้านท่องเที่ยวและวัฒนธรรม ทั้งเรื่องงบประมาณ โครงการต่าง ๆ ตลอดจนหาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ เพื่อจูงใจนักท่องเที่ยวให้มากขึ้น อีกทั้งเป็นการสร้างรายได้กระจายสู่ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล 


       

                 อย่างไรก็ตาม จากที่ได้รับรายงานพบว่า จ.เชียงใหม่ มีรายได้จากการท่องเที่ยวมากถึง 44% ของค่าจีดีพีของจังหวัด และสร้างรายได้ถึง 16.5% ของรายได้ประเทศ และในปีนี้ รัฐบาลมีนโยบายรณรงค์ให้คนไทยเที่ยวในประเทศเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกัน รณรงค์ให้คนไทยเป็นเจ้าบ้านที่ดี ในการต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ที่สำคัญ ปลุกจิตสำนึกให้ทุกคนช่วยกันรักษาแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม และประเพณีที่ดีงามเอาไว้ ซึ่งจะเป็นการเกื้อกูลเศรษฐกิจของประเทศให้มีการใช้จ่ายหมุนเวียน ขณะเดียวกัน จะมีการพัฒนา และอนุรักษ์แหล่งท่องเที่ยวให้มีความสมบูรณ์ ควบคู่ไปด้วย โดยมุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างมีคุณค่ามากที่สุด
       
       
                   
                  พล.อ.ธนะศักดิ์ กล่าวว่า จากการตรวจเยี่ยมวัดอุโมงค์ พบว่า ภายในบริเวณมีวัดร้างอายุ 700 กว่าปี ยังไม่มีการขึ้นทะเบียนอยู่หลายแห่ง ตนสั่ง นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รมว.วัฒนธรรม เร่งดำเนินการขึ้นทะเบียนวัดร้าง ให้เป็นโบราณสถานโดยเร็ว สำหรับการพัฒนาพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่ ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรมนั้น ได้มอบหมายให้ นายวีระ ประสานงานกับ รมว.ศึกษาธิการ หาแนวทางดึงนักเรียน นักศึกษา เข้ามาศึกษาประวัติศาสตร์ภายในพิพิธภัณฑ์ให้มากขึ้น พร้อมกันนี้ มอบให้หัวหน้าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติทุกแห่ง ช่วยประสานไปยังสถานศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพิ่มอีกช่องทางหนึ่ง ซึ่งทางพิพิธภัณฑ์เอง ก็จะต้องเตรียมพร้อมหาจุดสนใจที่ดึงดูดเด็กและเยาวชนให้เข้ามาชมพิพิธภัณฑ์ด้วย ไม่ใช่ว่าเมื่อเข้ามาแล้วให้เด็กมานั่งจดบันทึกแล้วก็กลับไปโดยไม่มีความประทับใจหรือสิ่งจูงใจที่กลับมาอีก อาจจะมีมุมเล่นเกม มุมกิจกรรม เสริมมุมความรู้ต่าง ๆ เข้ามาด้วย




              และในวันที่10 กุมภาพันธ์ 2559 นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเป็นประธานการประชุมผู้บริหารระดับสูงกระทรวงวัฒนธรรม ครั้งที่ ๓/๒๕๕๙ โดยมีดร.พงศ์ศักติฐ์ เสมสันต์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ดร.ฉวีรัตน์ เกษตรสุนทร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม นายปรารพ เหล่าวานิช เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ศาสตราจารย์ ดร.อภินันท์ โปษยานนท์ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม และผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรมเข้าร่วมการประชุม โดยยังไม่มีการเปิดเผยถึงเรื่องผลการประชุมที่แน่นอน





วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

Culture in the future : Chapter 2

กระทรวงวัฒนธรรมเริ่มนโยบายการใช้งบประมาณในปี 2559  




วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2559  ที่ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทำเนียบรัฐบาล พลอากาศเอกประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดงาน "ตลาดวัฒนธรรม: ทุนวัฒนธรรมสร้างชาติ ตลาดวัฒนธรรมสร้างสุข" โดยมีนายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี ทูตานุทูตจากประเทศต่างๆ กว่า 15 ประเทศ และผู้บริหารกระทรวงร่วมงานเป็นจำนวนมาก



โดยได้นำผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมสร้างสรรค์จากทั่วประเทศ ผลงานศิลปะของศิลปินแห่งชาติ ศิลปินพื้นบ้าน ผลงานของนักศึกษาจากวิทยาลัยนาฏศิลป์และวิทยาลัยช่างศิลป์ และคัดเลือกสินค้าทางวัฒนธรรมจากช่างสิบหมู่ กรมศิลปากรมาจัดจำหน่าย รวมทั้งจัดประมูลผลงานของศิลปินแห่งชาติ ทั้งนี้ กระทรวงวัฒนธรรมได้นำอัตลักษณ์วิถีถิ่น วิถีไทย วิถีโลก มาถ่ายทอดและแบ่งเป็น 4 ช่วง 
ช่วงแรก 1-7 กุมภาพันธ์ ตลาดมั่งมี ศรีสุข 
ช่วงที่สอง 8-14 กุมภาพันธ์ ตลาดสร้างรัก 
ช่วงที่สาม 15-21 กุมภาพันธ์ ตลาดสร้างสุข 
และช่วงสุดท้าย 22-26 กุมภาพันธ์ ตลาดสร้างบุญ


ทั้งนี้ได้แบ่งกลุ่มสินค้าออกเป็น 5 โซน ประกอบด้วย โซน A วัฒนธรรมไทยที่ต้องรู้ ซึ่งจะมีการจัดการแสดงและจำหน่ายหนังสือธรรมะ ร้านสังฆภัณฑ์ , โซน B วิถีถิ่น จะมีการออกร้านหมุนเวียน จะมีการออกร้านสินค้าทางวัฒนธรรมหมุนเวียมาจำหน่ายในแต่ละสัปดาห์ , โซน C วิถีไทย จะมีการจำหน่ายผ้าไทยที่เป็นเอกลักษณ์ในแต่ละท้องถิ่น รวมถึงเครื่องประดับ เครื่องลายคราม และหัวโขนเล็กเป็นต้น , โซน D วิถีโลก เป็นการแสดงผลงานด้านศิลปะเชิงสร้างสรรค์ เช่นการสาธิตกราฟฟิกดีไซน์ด้านภาพยนต์ และผลงานศิลปะจากนักศึกษา , โซน E เป็นโซนอาหารท้องถิ่น 4 ภาค ซึ่งจะมีสินค้าอาหารที่ขึ้นชื่อในแต่ละท้องถิ่น มาหมุนเวียนจำหน่ายทุกสัปดาห์







               นอกจากนี้ยังมีในส่วนของการพัฒนาเพิ่มศักยภาพชุมชนท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมเพราะในปัจจุบันกำลังพัฒนาเรื่องของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวสามารถมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ถึงวัฒนธรรมของชุมชน รวมถึงการได้ปฏิบัติตามแนวทางวิถีชีวิต และประเพณีของคนในชุมชนได้ ซึ่งจะเป็นการสร้างประสบการณ์ที่ดีแก่นักท่องเที่ยวและชักจูงใจให้เดินทางมาท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น และยังพัฒนาขีดความสามารถในการสร้างรายได้ให้แก่ชุมชน อีกทั้งยังเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในชุมชน ด้วยมิติทางวัฒนธรรมที่จะก่อให้เกิดการวางแนวทางเชื่อมโยงไปถึงการพัฒนาระบบเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศให้ยั่งยืนต่อไป