วันพุธที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2559

Culture in the future : Chapter 9

พิธีเปิดนิทรรศการศิลปะไทยร่วมสมัย "ไทยเนตร"




                พลเอกธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดนิทรรศการศิลปะไทยร่วมสมัย "ไทยเนตร" Thailand Eye ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า นิทรรศการ "ไทยเนตร" Thailand Eye เป็นกิจกรรมสุดท้ายงานเทศกาลไทยในสหราชอาณาจักร ตามโครงการเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีในโอกาสฉลองพระชนมายุ 5 รอบ 2 เมษายน 2558 และเฉลิมฉลอง 160 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-สหราชอาณาจักร ซึ่งการจัดแสดงผลงานศิลปะดังกล่าวได้เคยนำไปจัดที่หอศิลป์ Saatchi กรุงลอนดอน ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2558 – มกราคม 2559 ที่ผ่านมา โดยมีผู้เข้างานทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติตลอดระยะเวลาการจัดแสดง จำนวนรวมทั้งสิ้น 2 แสน 3 หมื่นกว่าคน นับเป็นสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้แก่วงการศิลปะร่วมสมัยของอังกฤษ และการตอบรับจากผู้ที่สนใจงานศิลปะร่วมสมัยในอังกฤษเป็นอย่างมาก และในครั้งนี้ก็ได้นำมาจัดแสดงที่เมืองไทย ถือเป็นโอกาสให้คนไทยและชาวต่างชาติที่มีความสนใจ และมีใจรักในศิลปะได้มาสัมผัสกับคุณค่าและความงดงามของงานศิลปะจากศิลปินชาวไทย อีกทั้ง เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลงานศิลปะและสร้างกำลังใจให้กับศิลปิน รวมทั้งโครงนี้ยังเป็นการส่งเสริมด้านการท่องเที่ยววัฒนธรรม และเศรษฐกิจไปพร้อมกันอีกด้วย



              ศาสตราจารย์ ดร.อภินันท์ โปษยานนท์ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า นิทรรศการศิลปะไทยร่วมสมัย ไทยเนตร (Thailand Eye) ครั้งนี้ กระทรวงวัฒนธรรมได้ร่วมกับ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร หอศิลป์ซัทชี่ บริษัท พรูเดนเชียลประกันชีวิต จำกัด พาราลเรล คอนเทมโพรารี่ อาร์ต กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) บริษัท คิง เพาเวอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) มูลนิธิ จิม ทอมป์สัน บริษัท โตชิบา ไทยแลนด์ จำกัด และบริติช เคานซิล ฯลฯ จัดขึ้น เป็นงานที่รวบรวมผลงานศิลปะไทยร่วมสมัยที่มีความโดดเด่นและสร้างสรรค์จากรากฐานของศิลปวัฒนธรรมของไทย จำนวนกว่า 60 ชิ้น จากศิลปินไทย จำนวน 23 คน มาจัดแสดง เช่น บุษราพร ทองชัย, ดาว วาสิกศิริ, กวิตา วัฒนะชยังกูร, นาวิน ลาวัลย์ชัยกุลปัญญา วิจินธนสาร, สาครินทร์ เครืออ่อนนอกจากนี้ยังยังมีการให้องค์ความรู้การศึกษาทางด้านศิลปะร่วมสมัยแก่นักเรียน นักศึกษา และผู้สนใจทั่วไป พร้อมทั้งจัดแสดงหนังสือ "ไทยเนตร" Thailand Eye ที่รวบรวมผลงานของศิลปินไทยให้เป็นประประจักษ์ไว้ในเล่มเดียวกันกว่า 70 คน อีกด้วย

              

              โครงการนี้เป็นโครงการที่มีหลายมิติ ทำให้ไทยและอังกฤษรู้จักกันมากขึ้น ซึ่งของทั้งสองประเทศก็มี ความแตกต่างกันเราต้องตีโจทย์ว่าคำว่าภัณฑรักษ์นั้นคืออะไร เรื่องของภัณฑรักษ์นั้นมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องของงบประมาณที่สามารถประสานกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน และในการคัดเลือกศิลปินในครั้งนี้ มีการทำงานเป็นทีม ทำการคัดเลือกจากสองร้อยคนให้เหลือเจ็ดสิบคน และยังมีการคัดเลือกต่อไปให้เหลือยี่สิบสามคน กระบวนการคัดเลือกนั้นก็ค่อนข้างมีความเข้มข้นแต่ก็จบลงด้วยดี จึงขอขอเชิญชวนผู้ที่สนใจ และมีใจรักในงานศิลปะ รวมถึงบุคคลทั่วไปร่วมชมนิทรรศการดังกล่าวตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปถึงวันที่ 7 สิงหาคม 2559 ณ ห้องนิทรรศการหลักชั้น 8 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร

                    โดยมีศิลปินมากหน้าหลายตาที่นำผลงานเข้ามาแสดงในนิศรรศการนี้ อาทิเช่น บุษราพร ทองชัย, ชาติชาย ปุยเปีย, ชูศักดิ์ ศรีขวัญ, ดาว วาสิกศิริ, กมลพันธุ์ โชติวิชัย, รอล์ฟ วอน บูเรน, สาครินทร์ เครืออ่อน, อุดมศักดิ์ กฤษณมิษ และ วิริยะ โชติปัญญาวิสุทธิ์ ฯลฯ

วันอังคารที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2559

Culture in the future : Chapter 8

เปิดงานมหกรรมวัฒนธรรมผ้าถิ่นไทยเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ๘๔ พรรษา




          นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเป็นประธานเปิดงานมหกรรมวัฒนธรรมผ้าถิ่นไทย เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ 84 พรรษา โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี ผู้บริหารระดับสูงหน่วยงานราชการและประชาชนเข้าร่วมพิธีจำนวนมาก โดยกระทรวงวัฒนธรรมร่วมกับจังหวัดสุพรรณบุรี กำหนดให้จัดงานตั้งแต่วันที่ 11-13 มีนาคม 2559 ณ บริเวณศาลเจ้าพ่อหลักเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี 



ณ ลานหน้ามังกรสวรรค์ ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสุพรรณบุรี นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานกล่าวเปิดโครงการ เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระชนมายุ 7 รอบ 84 พรรษา และได้อนุรักษ์ฟื้นฟูถ่ายทอดมรดกผ้าถิ่นไทยให้แพร่หลาย รวมทั้งให้คนไทยได้ตระหนักถึงความสำคัญของมรดกทางปัญญาของวัฒนธรรมชาติและส่งเสริมอัตลักษณ์ความเป็นไทยให้เกิดความภาคภูมิใจและร่วมสืบสานอย่างยั่งยืน ตามวิสัยทัศน์ประเทศไทย “ มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ” รวมถึงวิสัยทัศน์ และพันธกิจของกระทรวงวัฒนธรรม 5 ด้าน เช่น การเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และทำนุบำรุงศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม ตลอดจนสร้างสรรค์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มจากเส้นใยผืนผ้า สู่การสร้างงานและรายได้ให้แก่ชุมชน เพื่อเสริมสร้างภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์วัฒนธรรมการแต่งกายผ้าถิ่นไยให้แพร่หลาย และเพื่อส่งเสริมภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมให้มีพื้นที่ในการจำหน่ายและจัดแสดงสินค้าทางวัฒนธรรม


ทางด้าน ว่าที่ร้อยตรี สุพีร์พัฒน์ จองพานิช ผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี กล่าวให้การต้อนรับว่า เป็นความภาคภูมิใจที่สุพรรณบุรี ได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพการจัดงานในครั้งนี้ ซึ่งที่จังหวัดสุพรรณบุรีนั้น มีผ้าถิ่นจำนวนมาก เช่น ผ้าทอพื้นเมืองลายโบราณ ดังนั้นเราพร้อมที่จะขับเคลื่อนนโยบายยุทธศาสตร์และจุดเน้นการดำเนินงานของกระทรวงวัฒนธรรมด้านวิถีถิ่น วิถีไทย เพื่อเสริมสร้างภาพลักษณ์และเกียรติภูมิของประเทศ และเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 84 พรรษา


ขณะที่ นายประยุธ โอสธีรกุล วัฒนธรรมจังหวัดสุพรรณบุรี กล่าวถึงกิจกรรมภายในงาน ได้จัดแสดงและจำหน่ายผ้าไทย 4 ภาค การสัมมนาผ้าถิ่นไทย การแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านและร่วมสมัย การแสดงเดินแบบผ้าถิ่นไทย โดยนายแบบ นางแบบกิตติมศักดิ์ การประกวดเดินแบบแฟชั่นเยาวชนรักษ์ผ้าไทย อายุไม่เกิน 18 ปี และมีการแสดงอีกมากมาย


วันพุธที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2559

Culture in the future : Chapter 7

วธ.จัดมหกรรมวัฒนธรรมอาเซียน ดึง 7 ชาติอาเซียน-อินเดีย ร่วมแสดงรามายณะ



              นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ได้เปิดเผยภายหลังการประชุมติดตามความคืบหน้าการจัดงานมหกรรมวัฒนธรรมอาเซียน ที่กระทรวงวัฒนธรรม ว่ากำหนดจัดงานมหกรรมวัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN Cultural Expo 2016) รวมเข้ากับการจัดงานใต้ร่มพระบารมี 234 ปี กรุงรัตนโกสินทร์ วันที่ 20 – 24 เมษายน ณ บริเวณท้องสนามหลวง โรงละครแห่งชาติ และหอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน เพื่อส่งเสริมความรู้ความเข้าใจในความเหมือน ความต่างและความหลากหลายทางวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของประชาชนในประเทศอาเซียน ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมให้คนไทยเกิดการยอมรับความหลากหลายของวัฒนธรรมอาเซียน ซึ่งนำไปสู่ประชาสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนในอนาคต รวมถึงเป็นการแสดงความพร้อมการเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางศิลปะและวัฒนธรรมของอาเซียน เพื่อให้ประชาชนได้เรียนรู้ในความเหมือนและแตกต่างในเรื่องของวิถีชีวิต วัฒนธรรมของประชาชนในกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนด้วยกัน

            สำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ได้รายงานความคืบหน้าในการเตรียมงานมหกรรมวัฒนธรรมอาเซียนว่าขณะนี้มีความคืบหน้าร้อยละ 75 แล้ว โดยเมื่อวันที่ 16 ก.พ.ที่ผ่านมา ทางวธ.ได้เชิญคณะผู้เชี่ยวชาญด้านการแสดงรามายณะจากประเทศสมาชิกอาเซียน รวม 6 ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา อินโดนีเซีย ลาว เมียนมา ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ เข้าร่วมหารือการจัดมหกรรมรามายณะอาเซียน (ASEAN Plus Ramayana) ซึ่งได้กำหนดการแสดงรวมชาติโดยแบ่งองก์การแสดง ได้แก่

                    1.ยกศร-การแสดงรวมชาติ ซึ่งเป็นการแสดงรวมของประเทศสมาชิกอาเซียน
                    2.การบูชาเทพเจ้าและฉาก ณ กรุงมิถิลา จากอินเดีย
                    3.ตามกวางและลักสีดา จากเมียนมาร์
                    4.นกสดายุและถวายพล จากอินโดนีเซีย
                    5.เนรเทศพิเภก จากลาว
                    6.หนุมานพบนางสีดา จากสิงคโปร์
                    7.เผากรุงลงกาและจับนาง จากกัมพูชา
                    8.ยกรบและสีดาลุยไฟ จากฟิลิปปินส์ และปิดท้ายด้วยคืนนคร จากไทย
         

              นอกจากนี้ ยังมีการแสดงดนตรีและการแสดงพื้นบ้านอาเซียน การจัดฉายภาพยนตร์คลาสสิกอาเซียน การจัดแสดงสิ่งทอและแฟชั่นอาเซียน การจัดแสดงผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมอาเซียน เมืองจำลองอาเซียน ครัวอาเซียน "ลิ้มรสอาหารอาเซียน" ว่าวอาเซียน เทศกาลอาเซียนแห่งกรุงเทพมหานคร 2559 พิธีเปิดห้องจัดแสดงศิลปวัตถุของอินโดนีเซียและกัมพูชา พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร และ ASEAN Literature อัตลักษณ์ร่วมในวรรณกรรมอาเซียน ซึ่งที่ประชุมมีมติให้หน่วยงานที่รับผิดชอบแต่ละกิจกรรมส่งรายละเอียดและผู้ประสานงานให้แก่สำนักความสัมพันธ์ต่างประเทศ เพื่อจัดทำเป็นข้อมูลการประชาสัมพันธ์การจัดงานต่อไป

                       
                    

             อย่างไรก็ตาม วธ. จะจัดทำหนังสือเรียนเชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมของประเทศสมาชิกอาเซียนเข้าร่วมงานมหกรรมวัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN Cultural Expo2016) ระหว่างวันที่ 20 – 24 เมษายน 2559 เพื่อเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน รวมถึงการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และศึกษาวัฒนธรรมร่วมกันของประเทศสมาชิกอาเซียนด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2559

วาทกรรม : การเปลี่ยนแปลงของเพศที่ถูกจำกัด


การเปลี่ยนแปลงของเพศที่ถูกจำกัด

เพศ เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่เป็นตัวเลือกสำหรับสิ่งต่างๆในชีวิตของคนเรา  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโอกาสในการเลือกอาชีพ สิทธิต่างๆ เป็นต้น โดยเฉพาะสาวประเภทสองจะเป็นเพศที่ถูกจำกัดมากกว่าเพศอื่นๆ สังคมจะพยายามแบกแยกคนเหล่านี้ออกจากเพศชายและเพศหญิง โดยมีทัศนคติที่เชื่อว่าพฤติกรรมของคนเหล่านี้เป็นคนรักเพศเดียวกันและคนข้ามเพศจะนำไปสู่ปัญหาทางสังคมและความเสื่อมเสียศีลธรรม ส่งผลให้กลุ่มคนเหล่านี้ไม่ได้รับความเท่าเทียมและสิทธิทางสังคม

สมัยก่อนนั้น คนไทยถูกปลูกฝังให้มีค่านิยมและความเชื่อที่ผิดๆ ว่าใครที่เป็นบุคคลข้ามเพศหรือรักเพศเดียวกันก็จะถูกมองว่าเป็นตัวประหลาด โดนขับไล่ออกจากสังคมนั้นๆ ทำให้ไม่มีอาชีพรองรับ ทั้งๆที่บุคคลเหล่านี้ไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ด้วยความที่สังคมยังไม่เปิดกว้างนัก จึงถูกมองว่าผิดจารีตประเพณีของไทย รวมไปถึงการใช้กฎหมายเกี่ยวกับการใช้คำนำหน้านามว่า นาย” “นาง” “นางสาวการแต่งกายเพื่อบ่งบอกถึงความเป็นสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี สิ่งเหล่านี้จึงมีบทบาทสำคัญในการสร้างกฎเกณฑ์ทางเพศในสมัยก่อน ที่ให้ความสำคัญว่าโลกเรามีแค่ผู้หญิงและผู้ชายเท่านั้น

ในปัจจุบันนั้น สังคมไทยเปิดกว้างมากขึ้น ยอมรับบุคคลที่มีเพศสภาพไม่ตรงกับเพศวิถีได้ และยังมีการรองรับด้านการทำงานของสาวประเภทสองหรือบุคคลรักร่วมเพศ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะส่วนหนึ่งมาจากวัฒนธรรมตะวันตกที่เข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น จึงทำให้มีการเปลี่ยนแปลงเรื่องเหล่านี้ในสังคมไทย เช่น เรื่องการเพิ่มโอกาสในการทำงานของเพศเหล่านี้ ที่เห็นได้ชัดเจนเช่น อาชีพแอร์โฮสเตส ช่างแต่งหน้า สไตล์ลิสต์ เรื่องการคุ้มครองทางกฎหมายแก่ผู้หญิงข้ามเพศในด้านสุขภาพ การรับฮอร์โมน การผ่าตัดแปลงเพศ มีการอนุญาตให้การผ่าตัดแปลงเพศเป็นเรื่องถูกกฎหมาย เรื่องการแต่งกายสำหรับสาวประเภทสอง ซึ่งแต่งได้อย่างเปิดเผยในสถานที่ทำงาน เป็นต้น

ฉะนั้นคนเราไม่อาจเลือกเกิดได้ แต่เราสามารถเลือกสิ่งที่จะทำได้ การเปิดโอกาสในสังคมก็เป็นอีกหนึ่งสิ่ง ที่คนทุกคนไม่ว่าจะเพศชาย เพศหญิง สาวประเภทสอง ทอม ดี้ เกย์ ทุกเพศย่อมต้องการการยอมรับและการเปิดโอกาสให้กับพวกเขาเหล่านั้น ได้แสดงถึงทักษะและความสามารถที่มีอยู่ออกมาให้เห็นว่า ถึงแม้ภายนอกจะถูกมองไม่ดีอย่างไร แต่ความสามารถก็ไม่น้อยหน้าไปกว่าเพศปกติ

วาทกรรม : ประชาธิปไตย..ไม่ใช่อย่างที่คิด


ประชาธิปไตย..ไม่ใช่อย่างที่คิด

ตามความเข้าใจของผู้เขียนที่ผ่านมา วาทกรรมประชาธิปไตย จะต้องมีคุณลักษณะดังต่อไปนี้

- ยึดเสียงข้างมากเป็นเสียงส่วนใหญ่

- เคารพในกฎ กติกา ของสังคมเพื่อความสงบสุข

- เคารพในการตัดสินใจซึ่งกันและกัน

- ยึดถือหลักความเสมอภาคและความเท่าเทียมกัน

- รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น  ฯลฯ

แต่สภาพสังคมไทยในปัจจุบัน ในด้านการเมือง การบริหารประเทศ กลับไม่ได้เป็นไปตามหลักการที่เคยเข้าใจมา แต่กลับตรงกันข้าม ทำให้น่าสลดใจกับการปกครองของประเทศไทยในปัจจุบัน เช่น มีการทุจริตคอรัปชั่นกันอย่างรุนแรง ปิดกั้นสิทธิเสรีภาพของประชาชน ปิดหูปิดตา ไม่กล้าพิสูจน์ข้อเท็จจริง ในการบริหารและพัฒนาบ้านเมืองในหลากหลายรูปแบบ

ปัจจุบันเป็นรัฐบาลทหารที่เข้ามายึดอำนาจ แต่ก็มีลักษณะเหมือนกับ โจรคุมเมือง เป็นที่รู้เห็นอย่างเด่นชัดทั่วไป เช่น กรณีอุทยานราชภักดิ์ เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ถึงมูลค่าในการก่อสร้าง ว่ามีอัตราที่สูงเกินความเป็นจริง และนักศึกษาหลายสถาบัน กลุ่มพนักงานองค์กรต่างๆถูกสกัดกั้น ไม่ให้มีการเดินทางเข้าไปพิสูจน์ข้อเท็จจริงในพื้นที่อุทยาน และถูกปิดกั้นจากกลุ่มทหารและขัดขวางระหว่างเส้นทางเดินรถ ทั้งทางรถไฟและรถยนต์ รวมทั้งห้ามเข้าชมในพื้นที่อุทยาน และได้ปิดกั้นการทำงานของสื่อที่จะรายงานข่าวให้ภาคประชาชนได้ทราบ หากผู้นำมีวิสัยทัศน์เช่นนี้ จะนำบ้านเมืองไปในทิศทางใด ?

ในยุคสมัยของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ได้ทำการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย แต่ก็ถูกพรรคตรงข้าม ทำลายหน่วยเลือกตั้ง ปล้นระบอบประชาธิปไตย และต่อมาที่รัฐบาลทหารเข้ายึดครอง ก็ไม่เคยเคารพต่อระบอบประชาธิปไตยแต่อย่างใด ใช้วิธียึดครองอำนาจ ไม่เคารพกฎกติกาใดๆ มีหน่วยรักษาความสงบ ถืออาวุธปืนอย่างเป็นระยะในทุกพื้นที่  ไม่เคารพกฏกติกา ไม่เคารพการตัดสินใจ ไม่รับฟังความคิดเห็น ปล้นสิทธิเสรีภาพของสื่อ  ปิดกั้นการรายงานข่าวของสื่อ ผู้นำพยายามสร้างแนวความคิดว่า ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลเป็นพวกการเมืองเก่า สิ่งเหล่านี้จึงเป็นเพียงการสร้างวาทกรรมประชาธิปไตย โดยไม่ได้รักษาเนื้อหาและข้อเท็จจริง ซึ่งนี่ไม่ใช่ลักษณะของระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง 

Special Chapter : การเมืองกับมหาวิทยาลัย

การเมืองกับมหาวิทยาลัย


ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการเมืองมีอยู่รอบตัวและชีวิตประจำวันของเรา อย่างเช่น การเมืองกับชีวิตในมหาวิทยาลัย แทบจะเรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่อาจแยกออกจากกันได้เลย เพราะคำว่า เมือง คือเขตที่เป็น ที่ชุมชน ที่อยู่อาศัยรวมกันของผู้คน ส่วนคำว่า มหาวิทยาลัย คือสถานที่จัดการศึกษาในด้านวิชาการ และเป็นที่รวมกลุ่มของผู้คนในวัยศึกษาเล่าเรียน
           
           ในสถานที่ที่มีผู้คนอยู่ร่วมกันจำนวนมากๆ ไม่ว่าจะมีวัตถุประสงค์ใดก็ตาม จำต้องมีกฎหมายระเบียบปฏิบัติ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพื่อประโยชน์และความสงบสุขของกลุ่มสังคม ฉะนั้นคำว่า การใช้ระเบียบ กฎกติกา มารยาท จรรยาบรรณ จำต้องมีเป็นหลักปฏิบัติ ในการอยู่ร่วมกัน อย่างในมหาวิทยาลัย เช่น การจัดทำกิจกรรมประเพณี การรับน้อง ประเพณีกีฬาประจำปี การจัดนิทรรศการแสดงผลงานทางวิชาการ ของนักเรียนนักศึกษา ในการทำงานร่วมกัน ต้องการความคิดเห็นของสมาชิก ขององค์กร จึงต้องมีการแสดงความคิดเห็น โดยการจัดระเบียบความคิดในลักษณะการประชุม ลงความเห็น ลงคะแนนเสียงข้างมาก เพื่อนำมาเป็นมาตรการ ในการปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ ให้เกิดผลความสำเร็จ ให้เกิดการยอมรับ หลีกเลี่ยงการขัดแย้งทางความคิด อันนำไปสู่ความแตกแยก และความล้มเหลว
           
          วิธีการจัดระเบียบการอยู่ร่วมกันนี้ ล้วนเป็นกระบวนการทางการเมือง ที่ใช้กันอยู่อย่างแพร่หลาย ซึ่งเป็นการนำความคิดที่เห็นชอบ โดยส่วนใหญ่ และยอมรับด้วยหลักการและเหตุผลด้วยดี เป็นที่พอใจ นำมาเป็นนโยบายการปฏิบัติ โดยความยินยอมของทุกฝ่าย วิธีการดังกล่าว เป็นวิถีทางในการปฏิบัติทางการเมืองทั้งสิ้น

          ฉะนั้นวิถีทางการเมืองจะอยู่ในทุกรูปแบบของกลุ่มชน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มสังคมรูปแบบใดก็ตาม ในที่ที่มีคนอยู่เป็นกลุ่มคน จำเป็นต้องมีระเบียบปฏิบัติในการอยู่ร่วมกันอย่างชัดเจน เพื่อก่อให้เกิดความสงบสุขของกลุ่มชน โดยเฉพาะหลักการเคารพในสิทธิ เสรีภาพของตนเองและผู้อื่น เป็นหลักปฏิบัติที่สำคัญที่สุดในกลุ่มชนทุกชั้น ทุกองค์กรทุกสถานะ ดังนั้นแบบแผนกระบวนการทางการเมืองจะถูกวางรูปแบบปลูกฝังไว้ในทุกองค์กร ทุกกลุ่มชน ทุกสถานศึกษา เราจะเห็นได้จากประเทศที่เจริญแล้ว เช่น ประเทศญี่ปุ่น จะมีรูปแบบกฎระเบียบการอยู่ร่วมกันของประชาชน เช่น ในโรงเรียนอนุบาล ประถม มัธยม อุดมศึกษา และมหาวิทยาลัย ได้ถูกวางระเบียบการเมืองการปกครองไว้อย่างชัดเจน ประชาชนแสดงออกถึงความเป็นผู้มีวินัยทางการเมืองอย่างเห็นได้ชัดซึ่งควรนำมาเป็นแบบอย่าง     

วันอังคารที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2559

Special Chapter : การเมืองกับอาเซียน


หากเอ่ยถึงคำว่าการเมือง หลายคนคงบอกว่าเป็นเรื่องที่เข้าถึงได้ยาก น่าเบื่อ มีแต่เรื่องราวเครียดๆไม่น่าสนใจสักเท่าไร แต่การเมืองนั้นเป็นสิ่งที่อยู่รอบๆตัวเราทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการใช้ชีวิต การเรียนการศึกษา การทำงาน ครอบครัว สื่อมวลชน  รวมถึงประชาอาเซียน ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องจับตามองในขณะนี้
           
             การเมืองกับอาเซียนเกี่ยวกันเพราะเป็นกระบวนการจัดตั้งประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน ที่มีรากฐานมาจากนำความร่วมมือและความตกลงของอาเซียนด้านการเมืองและความมั่นคงที่มาต่อยอดให้มีผลเป็นรูปธรรมและมีความแบบแผนมากยิ่งขึ้น 
            
            ซึ่งผลลัพธ์สำคัญที่จะเกิดขึ้นจากการจัดตั้งประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน ก็คือ การที่ประเทศสมาชิกอาเซียนจะมีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวกับความมั่นคงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาความขัดแย้งด้านการเมืองระหว่างรัฐสมาชิกกับรัฐสมาชิกด้วยกันเอง ซึ่งจะต้องแก้ไขโดยสันติวิธี และเป็นการจัดการร่วมมือกันระหว่างประเทศที่เกิดปัญหาขึ้น จะไม่ใช่ประเทศใดประเทศหนึ่งที่จะจัดการปัญหาอีกต่อไป
            
            แต่ถ้าถามว่าประเทศไทยมีความพร้อมกับการเมืองในการเข้าร่วมประชาคมอาเซียนมากน้อยแค่ไหน เรื่องระบบการเมืองตอนนี้ที่อยู่ในระบอบเผด็จการทหาร ซึ่งแต่ก่อนเป็นระบบประชาธิปไตย จึงทำให้หลายๆฝ่ายเกิดความไม่พอใจในการตั้งตนขึ้นมาปกครองของเหล่าทหาร จึงรวมไปถึงการบริหารบ้านเมืองด้วย ที่หลายคนให้ความเห็นว่าไม่มีความคืบหน้าที่ดีขึ้นสักเท่าไร

ในปัจจุบันนี้ยังมีการถกเถียงกันเกี่ยวกับการทำงานของการเมืองไทยที่ไม่ลงตัวกัน ไม่เห็นพ้องต้องกันจึงเห็นได้ว่าประเทศไทยยังคงไม่มีความพร้อมในการเข้าร่วมประชาคมอาเซียน เพราะการร่วมมือกันของทั้ง10ประเทศนั้น ต้องมีความร่วมมือกันทางด้านการเมืองและความมั่นคง ถ้าประเทศใดประเทศหนึ่งยังไม่มีความพร้อม แล้วเมื่อไรเราจะได้เห็นภูมิภาคเราร่วมกันพัฒนาไปจนถึงขั้นสูงสุดสักที

การเมืองก็ยังคงเป็นสิ่งที่อยู่รอบๆตัวเรา ถึงแม้จะเป็นสิ่งที่หลายๆคนไม่สนใจ มองว่ามีแต่สิ่งที่ทำให้เครียด แต่การเมืองนั้นก็ถือเป็นสิ่งสำคัญของคนเราที่เราควรจะรับรู้และทำความเข้าใจ เพื่อสามารถทันข่าวและไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากนักการเมืองในปัจจุบันได้ 

นางสาวปัญยภัสสร์   พรหมชัยวัฒนา  13570500