วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

Culture in the future : Chapter 5

วธ.จัดมหกรรมวัฒนธรรมยิ่งใหญ่ทั่วไทย

                 กระทรวงวัฒนธรรมจัดงานมหกรรมวัฒนธรรม วิถีถิ่น วิถีไทย กทม.- 4 ภาค เฉลิมพระเกียรติในหลวง-ราชินี จัดแสดงดนตรี-นาฏศิลป์พื้นบ้าน ที่หาชมยาก ด้านศิลปินใต้โอดการแสดง"มะโย่ง"    ใกล้สูญ วอนภาครัฐหาทางสืบสาน


              เมื่อวันที่ 18 ก.พ.ที่ผ่านมา ณ หอประชุมเล็ก ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รมว.วัฒนธรรม  เป็นประธานแถลงข่าว "งานมหกรรมวัฒนธรรม วิถีถิ่น วิถีไทย เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสทรงครองสิริราชสมบัติครบ 70 ปี และ เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ รอบ 12 สิงหาคม 2559 ว่า วธ.ตระหนักถึงความสำคัญของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ และมุ่งที่จะขับเคลื่อนให้เกิดความภาคภูมิใจในความเป็นไทยให้สืบสานอย่างยั่งยืน จึงได้จัดมหกรรมดังกล่าว เพื่อมุ่งส่งเสริมอัตลักษณ์ความเป็นไทย โดยนำการแสดงเอกลักษณ์ท้องถิ่นที่หาชมได้ยาก  และหลายรายการกำลังจะสูญหายไป รวมทั้งดนตรีพื้นบ้านยอดนิยม อาหาร ผลิตภัณฑ์ภูมิปัญญาไทย และกิจกรรมส่งเสริมความเป็นไทย มาเผยแพร่ให้ประชาชนทั่วประเทศได้ร่วมสืบสาน โดยจะเริ่มจัดงานในส่วนกลาง ที่ ท้องสนามหลวง วันที่ 26-28 ก.พ. 2559 


                 และอีกทั้ง4ภูมิภาค ได้แก่ ภาคเหนือ ที่ ศูนย์ฝึกกองกำลังรักษาดินแดน จังหวัดเชียงราย ระหว่างวันที่ 18-22 มี.ค. 2559  ภาคกลางที่ อุทยานเฉลิมพระเกียรติ ร.4 จังหวัดเพชรบุรี วันที่ 25-29 มี.ค. 2559   ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ ลานเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ จังหวัดหนองคาย วันที่ 6-10 พ.ค. 2559  และภาคใต้ ที่ สวนสาธารณะธารา จังหวัดกระบี่ วันที่ 5-9 พ.ค. 2559


                 นายสมาน  โดซอมิ ประธานศูนย์วัฒนธรรมเฉลิมราชย์ พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านกือเม็ง จังหวัดยะลา กล่าวว่า ภาคใต้จะนำการแสดงมะโย่ง ซึ่งเป็นการแสดงพื้นบ้านโบราณมีอายุกว่า 400 ปี มีเอกลักษณ์ชาวไทยมุสลิมใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้ง จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส ที่เกี่ยวข้องพิธีกรรมการแก้บน  สะเดาะเคราะห์ และให้ความบันเทิง มีการสื่อสานบทขับร้องโดยใช้ภาษามาลายู มาแสดงให้ประชาชนได้รับชม ซึ่งปัจจุบันการแสดงมะโย่งลดน้อยลง เหลือเพียงแค่ 4คณะ และยังไร้ผู้สืบสาน แต่ตนสนใจที่จะอนุรักษ์การแสดงนีเจคงรวบรวมครูมะโย่งจากคณะต่างๆ มาไว้ที่ศูนย์เรียนรู้ อำเภอรามัญ จังหวัดยะลา  เพื่อหวังให้ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้กับคนรุ่นหลัง แต่ก็ยังพบว่าไม่มีผู้สนใจมาเรียน จึงห่วงว่า อีกไม่นานนี้วัฒนธรรมถิ่นใต้ที่ดีจะสูญหายไป“


                "อุปสรรคของการแสดง มะโย่ง คือ การใช้ภาษามลายู ใช้คำราชาศัพท์ชั้นสูง แต่คนภาคใต้ปัจจุบันพูดภาษาถิ่นและภาษากลาง ทำให้ไม่ได้รับความสนใจ อย่างไรก็ตามที่ผ่านมา ประเทศอินโดนีเซียและมาเลเซียติดต่อให้ไปถ่ายทอดความรู้ให้กับคณะการแสดงใน 2 ประเทศดังกล่าว ซึ่งน่าเสียดายที่ประเทศไทยกลับไม่เห็นความสำคัญ ทั้งนี้ จึงอยากให้ภาครัฐ โดยเฉพาะวธ.ช่วยลงมาดูแลและสืบสานด้วย"                         นายสมาน กล่าว.“

วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

Culture in the future : Chapter 4

ศ.ดร.อภินันท์ โปษยานนท์ พร้อมด้วยมรว.จักรรถ จิตรพงศ์ อดีตปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในการประชุมเตรียมการจัดงานมหกรรมรามายณะอาเซียน (ASEAN Plus Ramayana)

             วันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ เวลา ๐๙.๓๐ น. ณ ห้องประชุมดำรงราชานุภาพพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ศาสตราจารย์ ดร.อภินันท์ โปษยานนท์ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมด้วยหม่อมราชวงศ์จักรรถ จิตรพงศ์ อดีตปลัดกระทรวงวัฒนธรรม  เป็นประธานในการประชุมเตรียมการจัดงานมหกรรมรามายณะอาเซียน (ASEAN Plus Ramayana) โดยมีผู้แทนจากประเทศสมาชิกอาเซียน รวม ๘ ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา อินโดนีเซีย ลาว เมียนมา ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และผู้แทนสถานเอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศไทย เข้าร่วมประชุม





ก่อนหน้านี้ได้มีการประชุมคณะกรรมการอาเซียนว่าด้วยวัฒนธรรมและสนเทศ ครั้งที่ 50 ประเทศไทยได้แจ้งกำหนดจัดเทศกาลรามายณะอาเซียน (ASEAN Ramayana Festival) เพื่อเฉลิมฉลองการเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน ในเดือนเมษายน 2559

นายดนัย ชนกล้าหาญ ประชาสัมพันธ์จังหวัดลำพูน เปิดเผยว่าดร. จรูญ ไชยศร รองอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย ฝ่ายสนเทศ และนางสาวดารุณี ธรรมโพธิ์ดล ผู้อำนวยการสำนักความสัมพันธ์ต่างประเทศ กระทรวงวัฒนธรรม เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย ฝ่ายวัฒนธรรม เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการอาเซียนว่าด้วยวัฒนธรรมเละสนเทศ ครั้ง 50 (50th ASEAN Committee on Culture and Information Meeting: ASEAN-COCI) ระหว่างวันที่ 9 – 11 พฤศจิกายน 2558 ณ เมืองสุราบายา สาธารณรัฐอินโดนีเซียที่ผ่านมา ซึ่งในที่ประชุมเน้นย้ำความสำคัญของการใช้กลไกด้านวัฒนธรรมและสนเทศในการเสริมสร้างอัตลักษณ์อาเซียน โดยเฉพาะภายหลังปี 2558 โดยได้รับทราบความคืบหน้าการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ 2 ฉบับ ได้แก่แผนยุทธศาสตร์อาเซียนด้านวัฒนธรรมและศิลปะ ซึ่งมุ่งส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการสร้างอัตลักษณ์อาเซียน ความหลากหลายทางวัฒนธรรม สิทธิทางวัฒนธรรม ของประชาชน อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ การจัดการมรดกทางวัฒนธรรม และความร่วมมือด้านวัฒนธรรมกับภาคีภายนอก และแผนยุทธศาสตร์อาเซียนด้านสื่อและสนเทศ 2559 - 2563 ซึ่งมุ่งส่งเสริมการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร การกระจายข้อมูลเกี่ยวกับประโยชน์ของประชาคมอาเซียน การเชื่อมโยงกับภูมิภาคและสังคมโลก และความร่วมมือกับแวดวงต่างๆ ในการพัฒนาเนื้อหาเกี่ยวกับอาเซียน




สำหรับการหารือเรื่องความร่วมมือด้านวัฒนธรรมกับประเทศคู่เจรจานั้น ประเทศไทยรายงานผลการดำเนินโครงการนำบุคลากรด้านสื่อของอาเซียน-จีน เยือนไทย เมื่อวันที่ 15 - 19 กันยายน 2558 ที่ผ่านมา ซึ่งประกอบด้วย การเสวนาวิชาการ การศึกษาดูงานที่สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 และไทยรัฐทีวี และการเช้าชมศูนย์ฯ นอกจากนั้น ที่ประชุมได้หารือเกี่ยวกับการกำหนดให้ปี 2559 เป็นปีแห่งวัฒนธรรมอาเซียน - รัสเซีย (ASEAN - Russia Year of Culture 2016) และมีการจัด ASEAN Culture and Arts Dialogue ซึ่งจะเป็นเวทีให้ภาคส่วนต่างๆ ได้รู้จักกลไกความร่วมมือด้านวัฒนธรรมของอาเซียนมากขึ้น

นอกจากนั้นประเทศไทยยังได้แจ้งเรื่องการจัดเทศกาลรามายณะอาเซียน (ASEAN Ramayana Festival) ในเดือนเมษายน 2559 เพื่อเฉลิมฉลองการเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน โดยจะประสานประเทศต่างๆ ให้ส่งผู้เชี่ยวชาญมาร่วมหารือเพื่อเตรียมการต่อไป



วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

Culture in the future : Chapter 3

วัฒนธรรม-ท่องเที่ยวฯ ร่วมกันบูรณาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ส่องหาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ เพื่อจูงใจนักท่องเที่ยวไทย - ต่างประเทศ 
       
       พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี มอบให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรม ทำการบูรณาการทำงานด้านท่องเที่ยวและวัฒนธรรม ทั้งเรื่องงบประมาณ โครงการต่าง ๆ ตลอดจนหาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ เพื่อจูงใจนักท่องเที่ยวให้มากขึ้น อีกทั้งเป็นการสร้างรายได้กระจายสู่ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล 


       

                 อย่างไรก็ตาม จากที่ได้รับรายงานพบว่า จ.เชียงใหม่ มีรายได้จากการท่องเที่ยวมากถึง 44% ของค่าจีดีพีของจังหวัด และสร้างรายได้ถึง 16.5% ของรายได้ประเทศ และในปีนี้ รัฐบาลมีนโยบายรณรงค์ให้คนไทยเที่ยวในประเทศเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกัน รณรงค์ให้คนไทยเป็นเจ้าบ้านที่ดี ในการต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ที่สำคัญ ปลุกจิตสำนึกให้ทุกคนช่วยกันรักษาแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม และประเพณีที่ดีงามเอาไว้ ซึ่งจะเป็นการเกื้อกูลเศรษฐกิจของประเทศให้มีการใช้จ่ายหมุนเวียน ขณะเดียวกัน จะมีการพัฒนา และอนุรักษ์แหล่งท่องเที่ยวให้มีความสมบูรณ์ ควบคู่ไปด้วย โดยมุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างมีคุณค่ามากที่สุด
       
       
                   
                  พล.อ.ธนะศักดิ์ กล่าวว่า จากการตรวจเยี่ยมวัดอุโมงค์ พบว่า ภายในบริเวณมีวัดร้างอายุ 700 กว่าปี ยังไม่มีการขึ้นทะเบียนอยู่หลายแห่ง ตนสั่ง นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รมว.วัฒนธรรม เร่งดำเนินการขึ้นทะเบียนวัดร้าง ให้เป็นโบราณสถานโดยเร็ว สำหรับการพัฒนาพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่ ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรมนั้น ได้มอบหมายให้ นายวีระ ประสานงานกับ รมว.ศึกษาธิการ หาแนวทางดึงนักเรียน นักศึกษา เข้ามาศึกษาประวัติศาสตร์ภายในพิพิธภัณฑ์ให้มากขึ้น พร้อมกันนี้ มอบให้หัวหน้าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติทุกแห่ง ช่วยประสานไปยังสถานศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพิ่มอีกช่องทางหนึ่ง ซึ่งทางพิพิธภัณฑ์เอง ก็จะต้องเตรียมพร้อมหาจุดสนใจที่ดึงดูดเด็กและเยาวชนให้เข้ามาชมพิพิธภัณฑ์ด้วย ไม่ใช่ว่าเมื่อเข้ามาแล้วให้เด็กมานั่งจดบันทึกแล้วก็กลับไปโดยไม่มีความประทับใจหรือสิ่งจูงใจที่กลับมาอีก อาจจะมีมุมเล่นเกม มุมกิจกรรม เสริมมุมความรู้ต่าง ๆ เข้ามาด้วย




              และในวันที่10 กุมภาพันธ์ 2559 นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเป็นประธานการประชุมผู้บริหารระดับสูงกระทรวงวัฒนธรรม ครั้งที่ ๓/๒๕๕๙ โดยมีดร.พงศ์ศักติฐ์ เสมสันต์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ดร.ฉวีรัตน์ เกษตรสุนทร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม นายปรารพ เหล่าวานิช เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ศาสตราจารย์ ดร.อภินันท์ โปษยานนท์ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม และผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรมเข้าร่วมการประชุม โดยยังไม่มีการเปิดเผยถึงเรื่องผลการประชุมที่แน่นอน





วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

Culture in the future : Chapter 2

กระทรวงวัฒนธรรมเริ่มนโยบายการใช้งบประมาณในปี 2559  




วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2559  ที่ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทำเนียบรัฐบาล พลอากาศเอกประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดงาน "ตลาดวัฒนธรรม: ทุนวัฒนธรรมสร้างชาติ ตลาดวัฒนธรรมสร้างสุข" โดยมีนายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี ทูตานุทูตจากประเทศต่างๆ กว่า 15 ประเทศ และผู้บริหารกระทรวงร่วมงานเป็นจำนวนมาก



โดยได้นำผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมสร้างสรรค์จากทั่วประเทศ ผลงานศิลปะของศิลปินแห่งชาติ ศิลปินพื้นบ้าน ผลงานของนักศึกษาจากวิทยาลัยนาฏศิลป์และวิทยาลัยช่างศิลป์ และคัดเลือกสินค้าทางวัฒนธรรมจากช่างสิบหมู่ กรมศิลปากรมาจัดจำหน่าย รวมทั้งจัดประมูลผลงานของศิลปินแห่งชาติ ทั้งนี้ กระทรวงวัฒนธรรมได้นำอัตลักษณ์วิถีถิ่น วิถีไทย วิถีโลก มาถ่ายทอดและแบ่งเป็น 4 ช่วง 
ช่วงแรก 1-7 กุมภาพันธ์ ตลาดมั่งมี ศรีสุข 
ช่วงที่สอง 8-14 กุมภาพันธ์ ตลาดสร้างรัก 
ช่วงที่สาม 15-21 กุมภาพันธ์ ตลาดสร้างสุข 
และช่วงสุดท้าย 22-26 กุมภาพันธ์ ตลาดสร้างบุญ


ทั้งนี้ได้แบ่งกลุ่มสินค้าออกเป็น 5 โซน ประกอบด้วย โซน A วัฒนธรรมไทยที่ต้องรู้ ซึ่งจะมีการจัดการแสดงและจำหน่ายหนังสือธรรมะ ร้านสังฆภัณฑ์ , โซน B วิถีถิ่น จะมีการออกร้านหมุนเวียน จะมีการออกร้านสินค้าทางวัฒนธรรมหมุนเวียมาจำหน่ายในแต่ละสัปดาห์ , โซน C วิถีไทย จะมีการจำหน่ายผ้าไทยที่เป็นเอกลักษณ์ในแต่ละท้องถิ่น รวมถึงเครื่องประดับ เครื่องลายคราม และหัวโขนเล็กเป็นต้น , โซน D วิถีโลก เป็นการแสดงผลงานด้านศิลปะเชิงสร้างสรรค์ เช่นการสาธิตกราฟฟิกดีไซน์ด้านภาพยนต์ และผลงานศิลปะจากนักศึกษา , โซน E เป็นโซนอาหารท้องถิ่น 4 ภาค ซึ่งจะมีสินค้าอาหารที่ขึ้นชื่อในแต่ละท้องถิ่น มาหมุนเวียนจำหน่ายทุกสัปดาห์







               นอกจากนี้ยังมีในส่วนของการพัฒนาเพิ่มศักยภาพชุมชนท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมเพราะในปัจจุบันกำลังพัฒนาเรื่องของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวสามารถมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ถึงวัฒนธรรมของชุมชน รวมถึงการได้ปฏิบัติตามแนวทางวิถีชีวิต และประเพณีของคนในชุมชนได้ ซึ่งจะเป็นการสร้างประสบการณ์ที่ดีแก่นักท่องเที่ยวและชักจูงใจให้เดินทางมาท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น และยังพัฒนาขีดความสามารถในการสร้างรายได้ให้แก่ชุมชน อีกทั้งยังเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในชุมชน ด้วยมิติทางวัฒนธรรมที่จะก่อให้เกิดการวางแนวทางเชื่อมโยงไปถึงการพัฒนาระบบเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศให้ยั่งยืนต่อไป